สำหรับรีวิวการท่องเที่ยวทริปนี้นั้นทีมงาน HANG REVIEW จะมาเพื่อนๆไปแว๊นแบบธรรมชาติกันบ้างครับ โดยเราจะท่องเที่ยวไทยยังจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทยอย่างแม่ฮ่องสอน – เชียงใหม่ โดยการเดินทางครั้งนี้ไปกลับจากกรุงเทพ-เชียงใหม่นั้นเราจะใช้บริการการจองตั๋วของ Traveloka ที่สะดวกรวดเร็วและประหยัดครับ โดยเลือกสายการบิน Air Asia ในการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเข้าไปเช็คราคากันได้ที่นี่ >> https://www.traveloka.com/th-th/airasia จะสนุกและน่าตื่นเต้นแค่ไหนเพื่อนๆ ลองไปชมกันเลยครับ … ตามกันมาเล้ยยยย
เมื่อถึงสนามบินเชียงใหม่ เราโทรหา Bikky Chiangmai ให้มารับ ณ จุดจุดนี้ ขอกราบบบบขอบพระคุณ พี่โดม(เจ้าของร้าน) แห่ง Bikky Chiangmai มา ณ ที่นี้ พี่โดมจัด PCX 150i สภาพโคตรแจ่มมาให้ขี่ แถมยังติดกล่องหลังเพิ่มให้อีก ยังไม่พอ ให้หมวกกันน็อคแบบใหม่เอี่ยม ชนิดที่ต้องมานั่งแกะซีลเองกันเลยทีเดียว Recommend ตัวโตๆครับร้านนี้ ใครอยากแว้นเที่ยวเชียงใหม่จะใกล้ ไกลได้หมด
ราคามาตรฐาน บริการโคตรดี ต้อง Bikkychiangmai
ทริปนี้เราจะขี่เป็นวงกลมแบบวนตามเข็มนาฬิกา พาดผ่านเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน โดยคืนแรก เราจะไปนอนกันที่ปางอุ๋ง
..เข้ แค่ที่แรกก็ปาไปเกือบครึ่งวงกลมละ
Day 1 เราเริ่มเดินทางจากเชียงใหม่ 09.09น. (แน๊ มีฤกษ์) ผ่านเส้นทางดอยอินทนนท์-แม่แจ่ม-ขุนยวม-เมืองแม่ฮ่องสอน-ปางอุ๋ง อันที่จริงถ้าไปทางปาย-ปางอุ๋ง จะใกล้กว่าพอสมควร
แต่เส้นทางนี้ บอกเลยไม่ผิดหวัง
ถนนช่วงดอยอินทนนท์-แม่แจ่ม เป็นเส้นที่ประทับใจที่สุด และอันตรายที่สุดเช่นกัน ถนนเล็ก แคบ โค้งติดกันถี่ๆ โดยตลอดทางจะผ่านนาขั้นบันได สลับกับวิวทิวเขา ริมผาเป็นระยะ และยังผ่านแม่กลางหลวงด้วยแว้บไปถ่ายรูปได้ ถนนช่วงก่อนเข้าเขตขุนยวม จะเป็นเนินเขาเตี้ยๆซะส่วนใหญ่ สองข้างทางเป็นไร่ข้าวโพดสัก95%เห็นจะได้ ลองนึกภาพเนินเขาลูกเล็กๆสีน้ำตาลแบบต้นข้าวโพดแห้ง เรียงซ้อนกันเป็นร้อยพันสุดลูกหูลูกตา กระทบกับแดดยามบ่าย ส้ม ร้อน แสด และงดงาม
จนมาถึงปางอุ๋งประมาณ 18.00น.
วันแรกประเดิมด้วยการขับมอไซค์ 9 ชั่วโมง อยากตบกบลาลตัวเองที่คิดแผนการเดินทางเวรๆแบบนี้ขึ้นมา
มีคำแนะนำนิดหน่อยสำหรับคนที่อยากไปนอนปางอุ๋ง เมื่อมาถึงเราจะเห็นป้ายที่พัก-กางเต้นท์ ถ้าคุณอุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่เพื่อนอนบ้านพัก เชิญ ติดต่อตรงนั้นได้เลย แต่ถ้าคุณต้องการนอนเต้นท์บรรยากาศดีๆติดริมน้ำ ตื่นมาเจอกับหมอกลอยอุ๋งๆๆ อย่าแวะตรงนั้นเด็ดขาด! ให้เลยเข้ามาจนถึงป้อมเจ้าหน้าที่ แล้วบอกว่าต้องการเต้นท์สำหรับ3คน ไม่ว่าคุณจะมาแค่1หรือ2คนก็ตาม เพราะคุณจะได้เต้นท์ที่ใหญ่ขึ้น สูงขึ้น พร้อมพื้นที่นั่งหน้าเต้นท์สำหรับชมวิวกินหมูกระทะเคล้าเบียร์ แลกกับการเพิ่มเงินไม่ถึงร้อยบาท
Day 2 วันนี้เราจะขี่จากปางอุ๋งไปนอนที่ปาย โดยระหว่างทางเราจะแวะ
-หมู่บ้านรักไทย หมู่บ้านวัฒนธรรมจีนยูนาน ย้อนขึ้นไปไม่ไกล สวย ดี อาหารจีนยูนานโคตรแพงแต่ก็ควรลอง หมั่นโถวทอดโคตรอร่อย ขึ้นไปถ่ายรูปบนรีสอร์ทสวยๆได้(ลีไวน์,ชาสา) แค่อย่าเข้าไปในเขตห้องพัก
-ภูโคลน เป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชน ถ้าไม่รีบก็ควรแวะ พอกโคลน แช่น้ำแร่ ราคาพอรับได้ แต่ไข่ต้มโคลนแม่งไม่อร่อย อยากลองก็แล้วแต๊
-สะพานไม้ซูตองเป้ สวย ดี ร้อนนนนนน ขึ้นได้สองทาง จากหมู่บ้าน และวัด
-บ้านจ่าโบ้ แยกจากทางหลวงเข้าไปประมาณ 40นาที เป็นชุมชนชาวเขา ชาวกะเหรี่ยง แน่นอน ร้านก๋วยเตี๋ยวปิด วิวก็นั่นแหละ สวย ดี โฮมสเตย์ราคาถูก อยากเปลี่ยนบรรยากาศก็น่าสนใจ
-ดอยกิ่วลม จุดพักรถ วิวสวย มีชิงช้ารวมร่างกับกังหันเป็นพรอบถ่ายรูปเก๋ๆ
เมื่อถึงปาย..
ขอสารภาพตรงนี้ เราไม่มีความประทับใจอะไรในปายเลย
ปายเหมือนพัทยาแบบหารครึ่ง แค่ไม่มีใครมาเต้นในกระจก ไม่มีใครมาดึงแขนเราเข้าร้าน ไม่มีใครถือป้าย Buy Cocktail Free Blow Job ถนนคนเดินเต็มไปด้วยต่างชาติประมาณ99% วันนั้นเรามั่นใจว่าเจอนักท่องเที่ยวไทยไม่เกิน20คน ตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยร้านเหล้า จริงๆปายคงเหมาะกับการพักผ่อนอีกแบบ แค่ไม่ใช่แบบที่เราต้องการ
Day 3 วันหฤโหดอีกวัน วันนี้จะขี่รถจากปายไปแม่กำปองหมู่บ้านวิถีสโลว์ไลฟ์ โดยระหว่างทางเราแวะ
-หมู่บ้านสันติชล อีกหนึ่งหมู่บ้านจีนยูนาน ไม่อลังการเหมือนหมู่บ้านรักไทย ถ้ามีโอกาสไป แนะนำให้กินร้านอาหารตามสั่งจะอยู่เลยจากจุดทัวร์ลงไปหน่อย หาไม่ยากมีร้านเดียว ลาบหมูแบบยูนาน แปลก และอร่อย
-ม่อนหยุนไหล จุดชมวิวทะเลหมอกแห่งเมืองปาย เสียค่าเข้าคนละ20บาท แต่คุ้ม สวย ดี ยิ่งถ้ามาทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้น จะได้เห็นทะเลหมอกแบบสวยๆไหลๆ
-ปายแคนยอนหรือกองแลนหรือทางตะกวดเดิน เป็นคันดินให้เดินแบบแคบๆ เส้นทางดูแอดเวนเจอร์ดี เหมาะสำหรับผู้ชอบความท้าทายเพื่อให้ธรรมชาติคัดสรร ส่วนวิวเรียกว่าแปลกตาน่าจะเหมาะกว่าสวย แนะนำให้ไปช่วงเย็นๆ เพราะถ้าใครไปช่วงเที่ยง(แบบเรา)จะเจอกับการแผดเผาอย่างบ้าคลั่งของดวงอาทิตย์
-ห้วยน้ำดัง แยกออกจากทางหลักประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง เสียค่าธรรมเนียมอุทยานนิดหน่อย เป็นที่ ที่เราเสียดายมากกก ที่ไม่ได้มาพักที่นี่ บรรยากาศดีมว๊ากกก สามารถชมวิวได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตก ลานกางเตนท์มีหลายจุดเลือกได้ตามชอบ มีห้องน้ำ มีร้านกาแฟ ไม่ลำบากเกิน ไม่สบายเกิน กำลังดี
-แม่กำปอง ป้ายบอกทางหายากพอๆกับ Air Jordan 7 แถมแต่ละป้ายที่เจอสภาพก็ตามยถากรรมเหลือเกินพ่อคุณ
แม่กำปองเป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างรักษาตัวตนไว้ได้มากโข เราไปถึงประมาณสองทุ่ม ร้างรวงต่างๆปิดกันเกือบหมดแล้ว เสียงของแขกตามที่พักก็ไม่ดังเกินจนน่าเกลียด บ้านเรือนส่วนใหญ่จะสร้างโดยอิงกับธรรมชาติเป็นหลัก เช่น อิงลำธาร ติดต้นไม้ พิงไหล่เขา น้อยหลังที่จะเทปูนแล้วสร้างบ้านลงดื้อๆ
คืนนี้เราพักกันที่บ้านสำราญชน ซึ่งเป็นโฮมสเตย์กึ่งธุรกิจ คือไม่ใช่โฮมสเตย์แบบที่นอนกับชาวบ้านทั่วไป ก็แล้วแต่ความสะดวกกายใจของแต่ละคน
บ้านสำราญชน เป็นบ้านโคตรไม้ คือบ้านไม้ปกติที่เราเคยเจอจะเอาไม้มาตัดมาไสให้เป็นแผ่นเหลี่ยมๆแล้วมาประกอบกัน แต่ที่นี่เอาไม้แบบท่อนกลมๆนั่นแหละมาขัดกัน มาตอกยึดติดกัน นึกภาพสถาปัตยกรรมแบบรังนก นั่นแหละ(แต่พื้นกับพนังเป็นไม้เรียบๆธรรมดานะ) คือถ้าเรามองบ้านหลังนี้จากข้างนอก เราจะรู้สึกว่าทำไมบ้านแม่งดูยุ่งเหยิงจังวะ แต่พอเข้าไปอยู่ เออ ก็สวยดีนี่หว่า
Day 4
เช้านี้รีบตื่นจะไปดูทะเลหมอกที่กิ่วฝิ่น
..บรรทัดบนคือความตั้งใจ แต่ความจริงคือตื่นหลังจากอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงแล้วเกือบชั่วโมง
-กิ่วฝิ่น ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ทางแคบและชัน สวย ดี แต่หมอกไม่ค่อยเยอะเท่าไร หรือเป็นเพราะตื่นสายไม่แน่ใจ
-น้ำตกแม่กำปอง ก็มีน้ำไหลลงมาจากที่สูง อืมม ก็น้ำตกอะเนอะ มีบันไดให้ขึ้นไปชั้นบนได้ แต่ขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้สวยอะไรกว่าเดิม อืมม ก็น้ำตกแหละ
-ร้านกาแฟชมนกชมไม้ วิวสวย กาแฟกับขนมงั้นๆ คนเยอะมากกกก แค่ลุกไปถ่ายวิวแปปดียว โดนเก็บแก้วเลย แงง
วัดคันธาพฤกษาและหมู่บ้านแม่กำปอง เป็นวัดที่มีโบสถ์อยู่กลางลำธาร ซึ่งตัววัดสร้างตามแบบสถาปัตยกรรม… อืม ไม่รู้หรอก ป้ายก็ไม่มีบอก หลวงพ่อก็ไม่อยู่ให้ถาม อยากเขียนแบบดูมีภูมิบ้างง่ะ …
ส่วนหมู่บ้านแม่กำปอง เรียบง่ายตามท้องเรื่อง เป็นหมู่บ้านที่ทุนนิยมยังอยู่คู่กับธรรมชาตินิยมได้ ก็ขอให้รักษาเพื่อไว้เก็บเกี่ยวไปได้ตลอดนะฮะ
-The Giant ร้านกาแฟต้นไม้ยักษ์ ไกลพอสมควรจากแม่กำปอง โดยเฉพาะทางก่อนจะขึ้นถึงร้านโหดเอาการด้วยสภาพถนนและความชัน คนที่ขี่มอไซค์ไม่แข็งหรือรักรถมากสมควรจอดข้างล่างและขึ้นรถบริการ
ลำต้นของต้นไม้ถือว่าใหญ่ แต่ไม่ได้ใหญ่จนน่าตกใจ กิ่งก้านสาขาของมันต่างหากที่เรียกได้ว่าอลังการ แต่ละกิ่งซึ่งมีขนาดประมาณลำตัวคน แตกสาขาปกคลุมทั่วบริเวณนั้น ขนาดที่ว่าถอยหลังมาจนสุดทางเดินก็ยังไม่สามารถถ่ายรูปแบบเก็บกิ่งก้านของต้นไม้ไว้ได้ครบ ธรรมชาติช่างน่าอัศจรรย์
ร้านกาแฟสร้างขึ้นโดยล้อมรอบตัวต้นไม้ ราคาอาหารและเครื่องดื่มน่าอัศจรรย์พอๆกับต้นไม้ โดยมีคำอธิบายว่าเพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาต้นไม้ อืมม ก็นะ -น้ำพุร้อนสันกำแพง แช่เท้า ลวกไข่ เพลินดี
-กลับเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ เดินเล่น กินหมูกระทะ
Day 5 -จะไปกินโอ้กะจู๋ ร้านดังประจำถิ่น แต่เห็นปริมาณคิวที่รอ อุทานเป็นชื่อร้านหนึ่งครั้ง แล้วไปกิน KFC ในเซ็นทรัลแทน
-ขึ้นเครื่องกลับครับ โดยในครั้งนี้เรา เลือกจองตั๋วเครื่องบินกับบริษัทชื่อดังอย่าง Traveloka กันนะครับ สะดวกสบาย อีกทั้งยังใช้หยัดค่าใช้จ่ายเอามากๆ
เข็มไมล์วันที่รับรถ 2,228 กิโลเมตร เข็มไมล์วันที่ส่งคืน 3,020 กิโลเมตร
รวม 5 วัน เราเดินทางไปทั้งหมด 792 กิโลเมตร …
ไกลกว่ากรุงเทพถึงเชียงราย … ไกลกว่ากรุงเทพถึงนครศรีธรรมราช … ไกลที่สุดเท่าที่เราเคยขี่มอเตอร์ไซค์มา … แต่คงไม่ไกลที่สุดในชีวิตเรา …
วันนึงเราจะขี่ไปให้ไกลกว่านี้ …
SPECIAL THANKS : tote swangnate